ในปี ๒๕๖๔ บริษัท Lane Xang Minerals Limited สร้างรายได้ให้รัฐบาล สปป. ลาว ๔๐.๘๔๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในปี ๒๕๖๔ บริษัท Lane Xang Minerals Limited สร้างรายได้ให้รัฐบาล สปป. ลาว ๔๐.๘๔๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ

วันที่นำเข้าข้อมูล 13 พ.ค. 2565

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 13 พ.ค. 2565

| 930 view

          ในปี ๒๕๖๔ บริษัท Lane Xang Minerals Limited (LXML) ผู้ลงทุนจากประเทศจีนในการขุดแร่ทองคำและทองแดงที่เหมืองเซโปน แขวงสะหวันนะเขต สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาล สปป. ลาว จำนวน ๔๐.๘๔๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการผลิตทองแดงได้ ๕,๓๔๑ ตัน และทองคำ ๑๙๒,๙๘๘ ออนซ์ และคาดการณ์ว่าในปี ๒๕๖๕ จะสามารถผลิตทองแดงได้ ๘,๐๐๐ ตัน และทองคำ ๒๒๔,๐๐๐ ออนซ์ ปัจจุบัน บริษัท LXML เป็นบริษัทด้านเหมืองแร่แห่งเดียวที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ สปป. ลาว ให้เป็นบริษัทในระดับ A+ ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างอุโมงค์สำรวจแร่ธาตุใต้ดินที่ทันสมัยแห่งแรกใน สปป. ลาว ซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของ สปป. ลาว ไปจนถึงปี ๒๕๗๖

          นับจากวันที่เปิดดำเนินกิจการในปี ๒๕๔๖ ถึงปัจจุบัน บริษัท LXML สามารถผลิตทองแดงได้กว่า ๑.๑ ล้านตัน และผลิตทองคำได้กว่า ๑.๕ ล้านออนซ์ สามารถสร้างรายได้ (ค่าสัมปทานทรัพยากรแร่ธาตุ ภาษีและเงินปันผลจากกำไร) ให้แก่รัฐบาล สปป. ลาว จำนวน ๑.๖ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังส่งเสริมและใช้บริการธุรกิจท้องถิ่นใน สปป. ลาว อาทิ รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว รัฐวิสาหกิจน้ำมันเชื้อไฟลาว บริษัท สะหวันโลจิสติกส์ จำกัด เพื่อให้เกิดกระแสเงินหมุนเวียนภายในประเทศ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาแก่แขวงสะหวันนะเขต อาทิ การก่อสร้างและซ่อมแซมถนน การศึกษา สาธารณสุข และความมั่นคงด้านอาหาร โดยเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๕ บริษัท LXML ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับแขวงสะหวันนะเขตเพื่อยกระดับเส้นทางหมายเลข 28A ให้เป็นเส้นทางปูยางสองชั้นระยะทาง ๔๑.๕๖ กิโลเมตร จากบ้านนาบ่อ เมืองเซโปน ถึงเมืองวิละบูลี เพื่ออำนวย ความสะดวกประชาชนที่สัญจรโดยใช้เส้นทางดังกล่าวที่เชื่อมกับเส้นทางหมายเลข ๙ ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ

 

LXML

 

แหล่งอ้างอิง    

          ๑. Lane Xang Minerals Limited สืบค้นวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๕ <https://lxml.la/>

          ๒. Lane Xang Minerals Limited ประจำวันที่ ๕ และ ๔ พฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๒๒ และวันที่ ๒๑ และ ๖ เมษายน ค.ศ. ๒๐๒๒

**********