1. นางสาวศศินัทธ์ พัฒพงษ์ นักศึกษาฝึกงาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
“ ดิฉันเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในภาควิชารัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เมื่อถึงช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนในชั้นปีที่ 3 ถึงเวลาของการเลือกสถานที่ฝึกงานของนิสิตทุกคน ดิฉันได้เลือกมาฝึกงานอยู่ที่สถานกงสุลใหญ่แห่งราชอาณาจักรไทย ณ แขวงสะหวันนะเขต เนื่องจากคิดว่าตรงกับสายที่เรียนมามากที่สุด ดิฉันได้เรียนรู้และได้รับประสบการณ์หลายอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากการเรียนในมหาวิทยาลัย ทำให้ดิฉันได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้รู้ว่าตัวเองถนัดและชอบการทำงานในลักษณะใด
ในเนื้อเพลง Best in me ที่ดิฉันได้ร้องในงานสันทนาการสถานกงสุลใหญ่เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน มีใจความในท่อนเพลงหนึ่งที่ร้องว่า ‘cos you bring out the best in me, like no one else can do. ซึ่งมีความหมายว่า “เพราะคุณได้ดึงส่วนที่ดีที่สุดในตัวฉันออกมาอย่างที่ไม่มีใครสามารถทำได้” ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับการมีโอกาสได้มาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่สถานกงสุลใหญ่แห่งนี้ เนื่องจากนิสิตนักศึกษาแต่ละคนต่างมีศักยภาพและความสามารถพื้นฐานที่อาจคล้ายคลึงกัน แต่หากกล่าวถึงความสามารถที่แตกต่าง โดดเด่นหรือความถนัดส่วนบุคคลแล้ว ดิฉันเชื่อว่าหลายคนที่มาฝึกงานที่นี่ยังอาจไม่ค้นพบความสามารถดังกล่าว การที่ดิฉันมีโอกาสได้ทำงานที่หลากหลายและแตกต่างกันในหลายๆด้านที่สถานกงสุลใหญ่ ทำให้ดิฉันสามารถค้นหาตนเอง และพบว่าแท้จริงแล้วตนเองมีความถนัดหรือชอบการทำงานในลักษณะใด เพราะการทำงานในที่ต่างๆก็มีรูปแบบและลักษณะการทำงานที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้เห็นบุคลิกการทำงานของพี่ๆหลายๆคน รวมทั้งเพื่อนนักศึกษาร่วมงาน ล้วนมีรูปแบบหรือสไตล์ในการทำงานที่มีลักษณะเฉพาะตัว ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้และหยิบสิ่งเหล่านั้นมาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติงาน
แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย การที่ดิฉันได้เรียนรู้การทำงานที่หลากหลายจึงช่วยเปิดมิติและมุมมองใหม่ๆให้กับดิฉัน การได้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียในการปฏิบัติงานใดๆก็ตาม สิ่งเหล่านั้นจะกลายมาเป็นบทเรียนที่มีคุณค่า ที่ดิฉันจะสามารถนำมาปรับ เปลี่ยน หรือแก้ไขให้เหมาะสมกับตนเองให้มากที่สุด และดิฉันรู้สึกขอบคุณสถานที่แห่งนี้ และพี่ๆทุกคนที่ทำงานที่นี่ ที่ได้มอบโอกาสที่ดีที่ทำให้ดิฉันค้นพบตัวตนและความถนัดในการทำงานในบุคลิกของตัวดิฉันเอง เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว การได้ค้นพบตนเองว่าชอบสิ่งไหนถือเป็นความโชคดีและเป็นการบรรลุเป้าหมายที่สำคัญอย่างหนึ่งในชีวิต “
2. นายพงศ์ธร แสนฤทธิ์ นักศึกษาฝึกงาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
“ บทกวีหรือบทเพลงที่กว่าผู้แต่งจะเรียบเรียงจังหวะ ทำนอง และเนื้อหาได้นั้น ล้วนแล้วต้องใช้ระยะเวลา อารมณ์ความรู้สึก และความคิดสร้างสรรค์ในการกลั่นกรองและปรุงแต่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เรื่องราวต่างๆ จึงออกมาเป็นบทกวีหรือบทเพลงที่ไพเราะ เฉกเช่นเดียวกับชีวิตคนหากเปรียบกับบทเพลงแล้ว ชีวิตก็มีเรื่องราวทั้งดีและร้ายเป็นสีสันต่างๆที่เข้ามาเติมแต่งรสชาดของชีวิต ทำให้ชีวิตของเรามีทั้งสุขทั้งทุกข์ อารมณ์ความรู้สึกต่างๆนานา ดั่งอารมณ์ความรู้สึกที่เพลงแต่ละเพลงจะถ่ายทอดออกมา
เช่นเดียวกับการที่ได้มาฝึกงานอยู่ที่สถานกงสุลใหญ่ ณ แขวงสะหวันนะเขต ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ใหม่ในชีวิตที่ได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ วัฒนธรรมประเพณี ผู้คน ภาษา ความเป็นอยู่ ซึ่งอาจจะคล้ายคลึงกันแต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือการได้เข้ามาฝึกงาน ณ องค์กรแห่งนี้ ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้มีโอกาสได้เข้ามา เมื่อได้รับโอกาสนี้แล้วก็ต้องพร้อมที่จะฉกฉวยประสบการณ์ดีๆ ที่พร้อมจะเข้ามาเสมอ นอกจากงานในสำนักงานที่ทำให้เราอยากเรียนรู้ตลอดเวลาแล้ว สิ่งที่ตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ การทำงานที่นี่ยังมีการทำงานภาคสนาม ได้มีโอกาสลงพื้นที่เพื่อทำงานเกี่ยวกับด้านกงสุล งานคุ้มครอง ดูแล รักษาผลประโยชน์และช่วยเหลือคนไทย การเดินทางไปเยี่ยมนักโทษคนไทยที่ศาลตัดสินลงโทษจำคุกที่เรือนจำในการกระทำความผิดในข้อหาต่างๆ การปล่อยตัวนักโทษในกรณีที่คนไทยที่ถูกศาลตัดสินให้จำคุกที่ถึงเวลาที่ศาลกำหนดให้พ้นโทษ ซึ่งสถานกงสุลใหญ่มีหน้าที่ต้องรับตัวนักโทษ เพื่อนำไปส่งยังฝั่งไทย นอกจากจะเป็นหน้าที่แล้ว ก็เป็นความปลื้มใจที่ได้ช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ให้เขาได้รับความสุขหรือได้รับอิสรภาพกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ความประทับใจมากที่สุดคือการได้มีโอกาสได้เดินทางไปอำนวยความสะดวกให้แก่คณะสำนักพระราชวังและคณาอาจารย์แพทย์ เพื่อติดตามประเมินผลโครงการของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้จัดทำโครงการเกี่ยวกับด้านการพัฒนาบุคลากรสาธารณสุขและคุณภาพการศึกษาขึ้นในแขวงลาวใต้ ทำให้ได้มีโอกาสไปเห็นสภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชนบทของประเทศลาวในระหว่างเดินทาง อีกทั้งยังได้เรียนรู้ถึงการดำเนินชีวิต ประเพณีวัฒนธรรมที่ยังมีการสืบต่อกันมาจากการได้ไปพบปะพูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ รวมทั้งการได้เห็นธรรมชาติที่ยังคงมีความสมบูรณ์และได้รับการดูแลรักษาไว้มาเป็นระยะเวลายาวนาน
ประสบการณ์ที่ได้พบเจอในการมาฝึกงานในครั้งนี้ก็มีทั้งความสนุกสนานและความยากลำบาก แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าที่ไม่สามารถจะหาได้จากที่ไหน หากจะเปรียบความรู้สึกที่ได้มาฝึกงานที่สถานกงสุลใหญ่แห่งนี้แล้ว ก็เปรียบได้กับเพลง “When I fall in love” ฉันตกหลุมรักที่แห่งนี้เข้าเสียแล้ว ”
3. นายศรายุทธ อึ้งสายเชื้อ นักศึกษาฝึกงาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
“ การได้มาฝึกงานที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวถือเป็นโชคดีอีกอย่างหนึ่งของผมที่ได้เดินทางมาเจอกับขุมทรัพย์ที่แสนน่าหลงใหลซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับบ้านเกิดของตนเอง ได้พบกับคนมากหน้าหลายตา ได้เรียนรู้การทำงานที่เป็นระบบขึ้น ได้เข้าใจถึงผลของสิ่งที่เราตัดสินใจเลือกหรือสิ่งที่ทำและความรับผิดชอบที่ตนเองต้องตระหนัก
การได้มาฝึกงานที่สถานกงสุลใหญ่แห่งราชอาณาจักรไทย ณ แขวงสะหวันนะเขต ไม่เพียงแต่ทำให้ผมได้เจอกับงานที่ยากและหลากหลาย แต่ยังทำให้ผมพบกับพี่ๆที่แสนอบอุ่นที่คอยแนะนำวิธีการทำงาน อธิบายและปลอบใจในเวลาที่ผิดพลาดอีกด้วย “ตัวอย่างที่ดี มีค่ากว่าคำสอน” จริงๆ งานที่สถานกงสุลแห่งนี้จะแบ่งเป็น 2 ฝ่ายและมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในความเห็นของผม คือฝ่ายงานกงสุลหรือฝ่ายวีซ่าและฝ่ายข้อมูลธุรกิจ (BIC:Business Information Center) ฝ่ายงานกงสุลทำให้ผมได้เห็นถึงความละเอียดอ่อนของงาน เข้าใจว่าทุกฟันเฟืองในการทำงานล้วนมีความหมาย หากมีส่วนไหนพลาด ส่วนต่อๆไปก็จะพลาดด้วยและยังส่งผลต่อชีวิตของผู้คนที่เกี่ยวข้อง การได้เข้าเยี่ยม ปล่อยตัวนักโทษ สิ่งนี้ทำให้ผมเข้าใจได้ว่า ความคิดถึงเป็นสิ่งที่สัมผัสได้แม้ว่าจะไม่มีตัวตน สายตาของเหล่านักโทษ หยดน้ำตาที่ร่วงริน ล้วนอ้อนวอนต่อสิ่งที่ไร้ตัวตนให้พวกเขาเหล่านั้นได้กลับมาพบกับผู้คนที่เขารักและคิดถึง สำหรับฝ่ายข้อมูลธุรกิจทำให้ผมรู้จักที่จะเตรียมงานล่วงหน้า การทำความเข้าใจกับกฎหมาย ตลอดจนการลำดับความสำคัญของงานต่างๆ การได้เห็นรอยยิ้มของเหล่าคณะต่างๆที่ผมได้มีโอกาสร่วมต้อนรับ ได้ฟังคำพูดที่แสนสุภาพ น่าฟังจากกลุ่มบุคคลต่างๆ
สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันคือ ชีวิตนอกเหนือสำนักงาน ในความคิดส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันเป็นเสน่ห์ของการฝึกงานต่างประเทศที่แท้จริง เพราะสำนักงานแต่ละที่ก็มีโครงสร้างการทำงานที่แตกต่างกันไม่มากนัก แต่ทว่าชีวิตนอกเหนือเวลาของการทำงานต่างหากที่แตกต่างกัน เสน่ห์ที่ผมไม่มีทางได้พบหากฝึกงานภายในประเทศคือ การได้ใช้เวลาปรับตัวและชื่นชมในวัฒนธรรมท้องถิ่น การพบปะกับผู้คนที่เราไม่คุ้นเคย การลองชิมอาหารที่ไม่เคยได้ลิ้มรส และไปเจอะเจอกับสิ่งที่ดูเหมือนกันแต่แตกต่างและสิ่งที่ดูแตกต่างกันแต่ก็ดูเหมือนกัน
การได้เดินทางมาที่สะหวันนะเขตในครั้งนี้ไม่รู้ว่าเป็นโชคชะตาที่ถูกลิขิตหรือเป็นเรื่องบังเอิญที่เหนือความคาดหมาย แต่ก็ทำให้ผมพบกับเพื่อนๆที่น่ารัก พี่ๆที่แสนอบอุ่น หัวหน้าที่แสนใจดีและเป็นกันเอง อีกทั้งประสบการณ์ความรู้ต่างๆที่ได้รับ ยังทำให้ผมเริ่มมองเห็นทางเดินไปยังอนาคตที่มีชีวิตทำงานที่แสนน่าปวดหัวรออยู่ แต่ถึงอย่างนั้น การได้มาที่นี่ก็ได้สอนให้ผมไม่ลืมที่จะใส่ความสนุกลงไปด้วย จนทำให้ผมนึกถึงเพลงสากลเพลงหนึ่งที่แทนความในใจผมได้ดีที่สุดคือ “I don’t wanna miss a thing” แม้ว่าจะ “stay here lost in this moment forever” เหมือนในเนื้อเพลงไม่ได้ แต่มันจะเป็น “a moment I treasure” ดุจดังเนื้อเพลงนั้นอย่างแน่นอน