เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ นายสีทน นันทะลาด หัวหน้าแผนกอุตสาหกรรมและการค้า แขวงสะหวันนะเขต เปิดเผยว่าการค้าของแขวงสะหวันนะเขตในปี ๒๕๖๑ มีมูลค่า ๒.๔๗ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่า ๕๒๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกับปี ๒๕๖๐ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

          (๑) ภาคการส่งออกมีมูลค่ากว่า ๑.๔๑ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๖๐ กว่า ๓๖๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าเกษตร เช่น ยางพารา ข้าวสาร มันสำปะหลัง สินค้าอุตสาหกรรมการแปรรูป เช่น ผลิตภัณฑ์น้ำตาลและกากน้ำตาล และบุหรี่ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมที่เกิดจากการนำเข้าเพื่อการแปรรูปและส่งออกภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะอุปกรณ์ด้านอิเล็กทรอนิกส์ประเภทอุปกรณ์การสื่อสาร เบาะหุ้มรถยนต์ และเลนส์แว่นตา มูลค่าการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นเกิดจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา

          (๒) ภาคการนำเข้ามีมูลค่ากว่า ๑.๐๕ ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๖๐ กว่า ๑๗๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ การนำเข้าสินค้าของแขวงในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเป็นผลมาจากมีความต้องการการนำเข้าสินค้าเพื่อใช้ในการผลิตและแปรรูปที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ ยังมีการนำเข้าวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต วัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เครื่องมือด้านการเกษตร และสินค้าอุปโภคบริโภค

          โดยรวมแขวงสะหวันนะเขตได้เปรียบดุลการค้า คิดเป็นมูลค่าสูงกว่า ๓๕๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อเปรียบเทียบกับปี ๒๕๖๐ เพิ่มขึ้นกว่า ๑๘๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ทำให้แขวงได้เปรียบดุลการค้า ได้แก่ การส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะยางพารา มันสำปะหลัง น้ำตาลและกากน้ำตาล ตะกั่ว เยื่อกระดาษ ทองแดง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทอุปกรณ์การสื่อสาร ชิ้นส่วนกล้อง และแผงพลังงานแสงอาทิตย์

          หัวหน้าแผนกอุตสาหกรรมและการค้าแขวง กล่าวเพิ่มเติมว่าในปี ๒๕๖๒ แขวงฯ มีนโยบายส่งเสริมและ อำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ให้แก่ภาคธุรกิจการส่งออกและนำเข้าสินค้า โดยมีเป้าหมายให้มูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ระดับ ๒.๕๐ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคิดเป็นการส่งออกสินค้า ๑.๕๐ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าสินค้า ๑ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้ดุลการค้า ๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งจะอำนวยความสะดวกในด้านสินค้าผ่านแดนสากลที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ ๓.๓๕ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

          ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี ๒๕๖๒ เป็นต้นไป แขวงฯ จะอนุญาตให้นำเข้าสินค้าประเภทเหล็กเส้น เหล็กรูปพรรณต่าง ๆ และปูนซีเมนต์ ได้โดยตรง